จากกระแสความคิดของคนไทยปัจจุบันที่มีความเชื่อเอนเอียงนิยมชมชอบในเรื่องทุนนิยมกันมากจนกลายเป็นกระแสความคิดหลักไปแล้ว
ใครๆ ก็อยากรวย ใครๆ ก็อยากมีทรัพย์สินมากกว่าคนอื่น ใครๆ
ก็อยากทำอะไรก็ได้ที่ได้เงินเยอะๆ แต่เราเคยเอะใจหรือไม่ว่า
แท้จริงแล้วเราไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนในอดีต
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับความคิดของเราล่ะ?
ในอดีตเมื่อประมาณ
50 ปีที่ผ่านมา ความดีงาม การรักษาชื่อเสียง การมีหน้ามีตา
การให้ความเคารพต่อคนดีมีคุณธรรมนั้นเป็นค่านิยมหลักของคนไทยในสมัยอดีต
จะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงคนรอบข้าง ถ้าทำไม่ดีเดี๋ยวจะไม่มีคนคบ
ถูกคนอื่นนินทาว่าร้ายจนทำมาหากินไม่ได้ คนอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ
พ่อค้าพาณิชย์สมัยก่อนจะแคร์สายตาคนรอบข้างเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้คนสมัยก่อนที่มีอำนาจมากมักจะสะสมบารมีกับบริวารทั้งหลาย เช่น
สนับสนุนเงินทุนการศึกษาให้ผู้น้อย สร้างที่พักอาศัยให้กับบริวารได้อยู่ล้อมรอบตนเอง
ให้การอุปการะเลี้ยงดูลูกหลานของบริวาร เป็นต้น
ดังนั้นคนไทยในอดีตจึงห่วงเรื่องการรักษาชื่อเสียงและหมั่นสะสมความดีงามเอาไว้อยู่เสมอเพื่อให้ตนเองสามารถมีที่ยืนอยู่บนสังคมได้เสมอ
แต่มาถึงยุคนี้ปีพ.ศ.
2557 กาลเวลาผ่านไปจิตใจคนก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามกฎแห่งธรรมชาติ
ค่านิยมของเราเปลี่ยนจากการให้คุณค่ากับความดีงาม มาเป็นให้คุณค่ากับเงินมากกว่า
สมัยนี้เรามีค่านิยมว่า “ใครมีเงินมากถือว่าดีเก่งเฮงน่านับถือ”
ระดับความรุนแรงของสำนวนที่ว่า “มีเงินนับเป็นน้องมีทองนับเป็นพี่”
ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณความสำคัญมากขึ้น” ส่วนค่านิยมต่อความดีก็เปลี่ยนไปเป็น เช่น “ดีอย่างเดียว
กินไม่ได้ ไม่เอา” “คนดีไม่มีที่อยู่” “ใครรู้จักทำอะไรด้านมืดๆ บ้างนี่สิถึงจะอยู่รอดได้” ทำไมค่านิยมถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้?
เม็ดเงินแพร่สะพัดเฉพาะในชุมชนใหญ่อย่างในกรุงเทพมหานคร
ช่วยเร่งทำให้สังคมเราที่เดิมเป็นสังคมชนบทเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมเมืองขนาดใหญ่
เงินได้ถูกโฆษณาว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีควรหามาเก็บมาใช้
การมีเงินเท่ากับการมีทรัพยากรซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา
ด้วยไอเดียนี้เงินจึงสามารถดึงดูดให้คนต่างถิ่นที่ไม่รู้จักกันจำนวนมากมาอาศัยอยู่ที่เดียวกันเพื่อทำงานหาเงิน
การย้ายเข้ามาอยู่รวมกันอย่างรวดเร็วทำให้ความผูกพันธ์และการรู้ภูมิหลังของกันและกันต่อกันมีไม่มาก
คนต่างถิ่นไม่รู้จักกัน นานวันเข้าก็ไม่สนใจต่อกันเพราะมีจำนวนมากเกินไป
ต่างคนต่างอยู่
ครอบครัวในชนบทจากเดิมที่เป็นครอบครัวขยายเปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น
จนถึงปัจจุบันสังคมคนโสดอยู่แบบเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวกับใครก็เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น
เมื่อผู้คนไม่รู้จักกัน
ความใส่ใจ ความแคร์กันย่อมน้อยลง คนมีความสัมพันธ์กันน้อยลง
ดังนั้นพฤติกรรมการรักษาชื่อเสียงความดีงามจึงถูกลดความสำคัญลงไป
นอกจากนี้การที่มีคนจำนวนมากอยู่รวมกันแต่กระจัดกระจายทางความสัมพันธ์ (มีคนเยอะแต่ไม่ได้รวมกลุ่ม)
เป็นตัวช่วยส่งเสริมให้เกิดการทุจริตแล้วไม่ถูกลงโทษทางสังคมมากขึ้น
การมีคนจำนวนมากทำให้เกิดการภาวะการกระจายความรับผิดชอบ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น
ถ้ามีคนหกล้มกลางห้างที่มีคนพลุกพล่านมากๆ ก็จะไม่มีใครสนใจกันและกัน
ไม่มีใครจะหยุดช่วยคนหกล้ม เพราะต่างคนต่างคิดว่าเดี๋ยวคนอื่นๆ ก็ไปช่วย
ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเช่น
มิจฉาชีพสามารถใช้ช่องโหว่ของกฎหมายหรือข้อที่มีบทลงโทษอ่อนโดยหลอกลวงเงินจากผู้เสียหาย
โดยเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปเรื่อยๆ แต่ใช้วิธีเดิมๆ ค่อยๆ
ไล่หลอกคนอื่นไปทีละนิดกลายเป็นความเสียหายก้อนใหญ่ได้
กว่าสังคมจะรู้ตัวอีกทีก็เสร็จโจรไปแล้วเรียบร้อย
ในยุคปัจจุบันที่เรามักจะตามหาความดีงามจากคนอื่น
แต่ตัวเราก็ยังนิยมในทุนอยู่
เราจะทำอย่างไรเพื่อให้สังคมของเราดีขึ้นอย่างสมดุลได้บ้าง คำตอบคือ ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา
เปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนสิ่งที่เรานิยมใหม่ เช่น
จากเดิมที่จะคบใครโดยให้ความสำคัญกับเงิน
ขอให้เพิ่มเติมพิจารณาเรื่องความดีงามของคนที่เราจะคบเข้าไปด้วย
พยายามอยู่กับคนที่มีทั้งเงินและความดีคู่กันไป คบคนที่ทำงานสุจริต
ใครทุจริตขอให้ลงโทษเขาด้วยกฎหมายและลงโทษทางสังคมประกอบกันไป
และที่สำคัญคือ
อย่านิ่งดูดายต่อความเลวร้าย “เหตุการณ์ร้ายต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ได้เกิดจากคนชั่ว แต่เป็นเพราะมีแต่คนดีที่เงียบเฉยต่างหาก”
ที่มา : http://www.aommoney.com/angelman/money-and-mind/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B5#gs.KSJVA=w
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น