วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ค่านิยมการแต่งตัวของวัยรุ่นไทยที่ผิดๆ

           ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมประจำชาติที่เป็นของตนเองมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะไทย มารยาทไทย ภาษาไทย อาหารไทย และชุดประจำชาติไทยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีคุณค่า มีความงดงามบ่งบอกถึงเอกลักษณ์แห่งความเป็น "ไทย" ที่นำความภาคภูมิใจมาสู่คนในชาติ
           การแต่งกายของไทยโดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ซึ่งมีอายุยาวนานมากกว่า 200 ปีนั้น ได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับนับตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนกลาง ยุคเริ่มการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ ยุค "มาลานำไทย" และ จนปัจจุบัน "ยุคแห่งเทคโนโลยีข่าวสาร"
           แต่ละยุคสมัยล้วนมีรูปแบบการแต่งกายที่เป็นของตนเองซึ่งไม่อาจสรุปได้ว่า แบบใดยุคใดจะดีกว่า หรือ ดีที่สุด เพราะวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม ล้วนต้องมีการปรับเปลี่ยนบูรณาการไปตามสิ่งแวดล้อมของสังคมแล้วแต่สมาชิกของสังคมจะคัดสรรสิ่งที่พอเหมาะพอควรสำหรับตน พอควรแก่โอกาส สถานที่และกาลเทศะ
  ในสมัยปัจจุบันนี้แนวการแต่งตัวของเด็กไทยได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนนั้นอยู่มากหากย้อนอดีตไปการแต่งตัวของเด็กไทยจะอิงตามแฟชั่นกระแสหลัก หรือตามนักร้อง - นักแสดงที่โด่งดังราวกลับเดินออกมาจากปกเทปหรือนิตยสารแล้ว copy & paste  ออกมา ดูแล้วคล้ายสินค้าจากโรงงานผลิตเดียวกัน ทว่าตอนนี้  การแต่งตัวของเด็กไทยมีอยู่มากมายหลายแนวมากขึ้น มีความหลากหลายทางเทรนด์ให้เด็กไทยเราได้เอาตัวตนเข้าไปอิงในเทรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ รับอิทธิพลการแต่งตัวมาจากฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก  ทำให้เด็กไทยมีทางเลือกในการแต่งตัวที่มากขึ้น บางคนชอบแนวทางแต่งตัวจากฝั่งตะวันตก ก็จะแต่งตัวตามแบบตะวันตก บางคนชอบแนวทางแต่งตัวจากฝั่งตะวันออก ก็จะแต่งตัวตามแบบตะวันออก  มีแนวการแต่งตัวหนึ่งแนวที่อยากนำเสนอนั้นคือ  แนวการแต่งตัวของประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลี ตามกระแสความนิยมในญี่ปุ่นและเกาหลีเรื่องอื่นๆอีก เช่น การดื่มน้ำชาเขียว กินปลาดิบ เป็นต้น
กระแสความนิยมญี่ปุ่นและเกาหลีนั้นมีมาตั้งนานเกือบๆ 10 ปีแล้ว ในช่วงต้นๆ กระแสนี้ยังไม่แพร่หลายมากนัก จะมีแค่กลุ่มย่อยๆมากกว่า กลายเป็นกลุ่มที่มีลักษณะเพาะตัว เฉพาะบางข้อจำกัดเท่านั้นที่มีอำนาจในการเข้าถึงกระแสดังกล่าว  แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มย่อยๆนั้นกล่าวก็ได้ขยายวงกว้างออกไปจนทำให้มีผู้รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้กระแสความนิยมญี่ปุ่นและเกาหลีได้เป็นที่รู้จักกันไปทั่วแล้ว
        การที่เด็กไทยนั้นได้รับอิทธิพลการแต่งตัวแบบเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีนั้น ทำให้นั้นเกิดการเลียนแบบและพยายามทำตัวให้เหมือนเด็กญี่ปุ่นและเกาหลี เนื่องจากเกิดจากการเทียบทางวัฒนธรรม และต้องการเป็นในแบบที่เชื่อว่าอยู่ในวัฒนธรรมที่มีชนชั้นที่สูงกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วการแต่งตัวของเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีที่อยู่ในประเทศของต้นแบบนั้นจริงๆ นั้นมีการแต่งตัวที่มีสไตล์การแต่งตัวที่หลายหลายมากกว่าที่เด็กไทยประเทศไทยบริโภคอยู่มาก การที่เด็กไทยรับสไตล์การแต่งตัว มานั้น ยังถือว่าน้อยอยู่ในตอนนี้  เป็นแค่เพียงการเลียนแบบเฉพาะบางส่วน และค่อนข้างเป็นสภาวะไร้ราก กล่าวคือเป็นการ copy  ในส่วนของรูปแบบ แต่ไม่ได้ศึกษาถึงกระบวนการสร้างความเป็นญี่ปุ่นและเกาหลี อย่างไรก็ตามเด็กไทยก็มีแนวโน้มว่าจะรับเอาสไตล์การแต่งตัวของเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
การแต่งกายของวัยรุ่นในปัจจุบัน ถูกมองว่าน่าเกลียด ฝ่าฝืนจารีตประเพณี โดยเฉพาะการแต่งกายของวัยรุ่นหญิงที่นุ่งประโปรงสั้น ใส่เสื้อรัดรูป เกาะอก วัยรุ่นชายทำสีผม เจาะหู เจาะลิ้น เจาะคิ้ว ลักษณะการแต่งกายเหล่านี้อาจดูประหลาด ขัดหูขัดตาผู้ใหญ่ หลายคนอาจถามว่าวัยรุ่นไทยแต่งตัวเหมาะสมหรือไม่ ถูกกาลเทศะหรือไม่ เลียนแบบตะวันตกหรือไม่ ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย ซึ่งเป็นการยอมรับวัฒนธรรมที่ผิดๆ  ของชาวต่างชาติเข้ามา  ในปัจจุบันเป็นปัญหาระดับชาติที่เราจะต้องนำมาคิดและพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร  เยาวชนคือผู้ที่จะต้องรักษาวัฒนธรรมสืบต่อไป  จะเป็นอย่างไรถ้าเรารับแต่วัฒนธรรมที่ผิด  และลืมวัฒนธรรมของไทยเราเอง
ผลกระทบต่อการแต่งตัวของดาราไทยที่ส่งผลต่อวัยรุ่นไทย
         ส่งผลได้หลายด้านทำให้วัยรุ่นไทยนั้นประหยัดเงินค่าขนมเพื่อที่จะมาซื้อเสื้อผ้าและของแต่งตัวตามดาราไทยจนทำให้เงินที่จ่ายนั้นไม่พอจนต้องไปขอพ่อแม่เพิ่มแล้วก็ทำให้เสียการเรียนไปด้วยเพราะกว่าจะแต่งตัวมาโรงเรียนเสร็จก็ต้องแต่งหน้าเลียนแบบดาราก่อนกว่าจะได้มาโรงเรียนก็สายกันพอดีและยังส่งผลกระทบต่อสังคมไทยด้วยอย่าง เช่น การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นต้น เหตุนี้ก็เกิดมาจากการแต่งตัวแบบโป๊ๆตามดาราไทยเป็นส่วนหนึ่งด้วยเพราะฉะนั้นเราควรที่จะแต่งให้พอดีพองามพอเหมาะแค่นี้ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาสังคมได้แล้ว  
         การแต่งกายของวัยรุ่นไทยในปัจจุบันมักจะแต่งตัวเลียนแบบตามดาราซะส่วนใหญ่แต่การแต่งแบบนั้นทำให้เกิดเรื่องกับตัวคนที่แต่งได้เพราะดารามักจะแต่งตัวแบบเปิดเผยแต่ไม่หมดซึ่งการแต่ตัวแบบนั้นจะทำให้เพศตรง ข้ามรู้สึกมีอารมณ์แล้วก็จะทำให้เราเป็นอันตรายได้ซึ่งมันน่ากลัวมากแต่วัยรุ่นไทยก็ยังแต่งตัวตามดาราไทยอยู่ดีเพราะบางคนคิดว่าเป็นแฟชั่นแต่งไปแล้วคงจะดูดี สวย เท่ แต่ไม่รู้เลยว่ามันอาจจะเกิดอันตรายกับผู้แต่งได้เราเป็นวัยรุ่นก็จริงแต่เราอยู่ในช่วงของวัยเรียนเราควรแต่งแบบพอดีไม่ต้องแต่งเวอร์จนเกินไปที่ดาราแต่งแบบนั้นได้เพราะมันเป็นอาชีพของพวกเขาที่จะต้องแต่งตัวแบบนั้นเพราะฉะนั้นเราควรที่จะแต่งตัวแบบพอดี


ที่มา : http://mmookiiz.blogspot.com/2011/12/blog-post.html

พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอันไม่พึ่งประสงค์ของวัยรุ่นไทย

ในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นยุคแห่งการวิวัฒนาการเทคโนโลยีใหม่ๆโตเติบและถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก ร่วมทั้งประเทศไทยได้มีเทคโนโลยีเข้ามาแพร่หลายและมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตในทุกเพศทุกวัยรวมทั้งวัยที่ถือว่าจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศชาตินั้นก็คือเยาวชนไทย ที่เทคโนโลยีเข้ามาอิทธิพลเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต หรือโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารอีกมากมายที่เข้ามามีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตจนไปถึงสังคมของวัยรุ่น ที่มีเทคโนโลยีเข้ามาทำให้เกิดผลดีและผลเสียตามมา การใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันโดยเฉพาะเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ นอกจากผู้ใช้จะได้รับประโยชน์แล้วบางรายเจ้าเทคโนโลยีเหล่านั้นก็อาจจะให้โทษหรือเกิดผลเสียเนื่องจากการใช้ผิดประเภทและผิดวัตถุประสงค์จนเกิดเป็นข่าวใหญ่ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนออย่างต่อเนื่องและนานวันจะยิ่งบานปลายและเพิ่มขึ้นตามกระแสการบริโภค
              น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า ความเสื่อมโทรมของสังคมและพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของวัยรุ่นในปัจจุบันนั้น หากใช้ผิดประเภทและไม่ถูกวิธีก็อาจจะได้รับผลเสียหรือตกเป็นเหยื่อจากภัยสังคมได้ เพราะในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนมากใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อวัตถุประสงค์อื่นมากกว่าการค้นคว้าหาข้อมูล ส่วนมากจะใช้เล่น เฟชบุ้ค ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น ที่นอกจากจะมีการโพสต์รูปของตัวเองแล้ว ยังมีการขายบริการทางเพศแอบแฝงอีกด้วย
          นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมแชทออนไลน์ที่วัยรุ่นส่วนมากใช้สนทนากัน เช่น เอ็มเอสเอ็น และ แคมฟร็อก รวมถึง เกมออนไลน์ ด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของวัยรุ่น เนื่องจากเกิดการติดงอมแงม เลิกไม่ได้ เพราะหากไม่ได้เล่นก็จะเหงา เศร้า แทบจะขาดใจ บางรายมีพฤติกรรมก้าวร้าว และชอบใช้กำลังอีกด้วย 
ปัญหาทางสังคมที่พบมากที่สุด
ปัญหาทางสังคมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวันที่พบมากที่สุด พอสรุป ปัญหาได้ ดังนี้
มีผลต่อความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์
ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ที่มีพัฒนาการที่ดีและรวดเร็วขึ้น
เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลที่เป็นเท็จมากขึ้น
เกิดข้อมูลหลอกลวง
สะดวกสบายมากขึ้นแต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วย
เกิดการบุกรุก โจมตีข้อมูลองค์กรและส่วนราชการ
มีผลกระทบต่อการศึกษา ผู้เรียน เด็ก ติดเกม มากขึ้น
เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์
นำเทคโนโลยีมาใช้ในทางที่ผิด
เป็นช่องทางในการเกิดอาชญากรรม
เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ผลกระทบด้านบวก
1. การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น
2. เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส   เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร
3. สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน   การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใน โรงเรียนมากขึ้น
ผลกระทบด้านลบ
1. ก่อให้เกิดความเครียดในสังคมมากขึ้น เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เคยทำอะไรแบบใด มักจะชอบทำแบบนั้น ไม่ชอบการ เปลี่ยนแปลง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลง บุคคลที่รับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเกิดความวิตกกังวล จนกลาย เป็นความเครียด กลัวว่าคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศจะทำให้คนตกงาน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาทดแทนมนุษย์
2. ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรม  หรือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก ทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกด้านการแต่งกาย และการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป การมอมเมาเยาวชนในรูปของเกมส์อิเล็คทรอนิคส์ ส่งผลกระทบ ต่อการพัฒนาอารมณ์และจิตใจของเยาวชน เกิดการกลืนวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมนั้น
3. ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม   บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป
4. การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง   การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ในการสื่อสารและการทำงาน แต่ในอีกด้านหนึ่งการมีส่วนร่วมของกิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังสรรค์กันจะน้อยลง ผู้คนมักอยู่แต่ที่บ้านหรือที่ทำงานของตนเองมากขึ้น
5. การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลโดยการเผยแพร่ข้อมูลหรือรูปภาพต่อสาธารณชน
ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจไม่เป็นความจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้องออกสู่สาธารณะชน ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคลโดยไม่สามารถป้องกันตนเองได้ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเช่นนี้ ต้องมีกฎหมายออกมาคุ้มครองเพื่อให้นำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ในทางที่ถูกต้อง
6. เกิดช่องว่างทางสังคม  การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับการลงทุน ผู้ใช้จึงเป็นชนชั้นในอีกระดับหนึ่งของสังคม ในขณะที่ชนชั้นระดับรองลงมามีจำนวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้และผู้ยากจนก็ไม่มีโอกาสรู้จักกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
7. ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ   นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในการทำงาน การศึกษา บันเทิง ฯลฯ การจ้องมอง คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน มีผลเสียต่อสายตา ซึ่งทำให้สายตาผิดปกติ มีอาการแสบตา เวียนศีรษะ นอกจากนั้นยังมีผลต่อสุขภาพจิต เกิดโรคทางจิตประสาท 
 ทางออกของปัญหาวัยรุ่นที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้  ต้องแก้ไขโดยการปลูกฝัง ธรรม และศีลธรรมให้ตรงกับยุคสมัย คือใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหา  เปรียบเสมือน หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง  คือใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาให้วัยรุ่นได้เข้าถึง สื่อเทคโนโลยีที่ดีและให้การสนับสนุนกิจกรรมด้านศีลธรรมที่เน้น ไปที่การรักชาติ   ศาสนา   พระมหากษัตริย์ให้มากๆ   ดังต่อไปนี้

                 ด้านครอบครัว   พ่อแม่ไม่ควรตามใจลูกมากเกินไปในการใช้สื่อเทคโนโลยี  ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและอยู่ใกล้ชิดลูกที่เป็นวัยรุ่น ให้ความอบอุ่นที่ไม่เน้นวัตถุ แต่ควรเน้นกิจกรรมที่ต้องใช้ปฏิสัมพันธ์กันทั้งหมดภายในครอบครัว  มีข้อมูลสถานที่มีกิจกรรมส่งเสริมด้านศีลธรรมในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะ พ่อแม่คือ หมอคนแรกที่จะฉัดวัคซีน ด้านคุณธรรมให้ลูกก่อนใครๆ ควรพาลูกไปวัด หรือสถานที่ มีกิจกรรมด้าน ธรรมร่วมสมัยสำหรับวัยรุ่น สถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีกิจกรรมสำหรับวัยรุ่น  ค่ายศิลปะ   ค่ายคุณธรรม  ค่ายภาษา  ค่ายอาสาพัฒนา   ค่ายเกี่ยวกับธรรมชาติ  เป็นต้น  คือพ่อแม่ต้องมีข้อมูลในเรื่องเหล่านี้บ้าง  หรือหาโอกาสไปทำบุญที่วัด  หรือทำกิจกรรมร่วมกันในต่างจังหวัด
 หรือเน้น ส่งเสริมให้วัยรุ่นอ่านหนังสือธรรมร่วมสมัยที่วัยรุ่นชอบอ่าน อาจเน้นตลกไม่น่าเบื่อ  ในรูปของวิดิทัศน์ ที่วัยรุ่นสามารถพกพาได้สะดวก ไม่ควรพาลูกๆไปเที่ยวแต่ห้างสรรพสินค้าอย่างเดียว  เพราะจะเป็นการปลูกฝังให้เด็ก รับข้อมูลที่เป็นวัตถู เมื่ออยากได้ก็ต้องซื้อ  เพราะเด็กจะไม่สารถแยกแยะได้  ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็น หรือ ไม่จำเป็น   เมื่ออยากได้  พ่อแม่ก็ตอบสนองด้านเทคโนโลยีมากเกินไป  จนเกิดความเคยชิน
            พ่อแม่พาวัยรุ่นไปวัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้จิตใจวัยรุ่นสงบมากที่สุด และสิ้นเปลืองน้อยที่สุด   เลือกวัดที่เน้นธรรมชาติ พาลูกไปนั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบเป็นแบบอย่างให้ลูก  ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารไปใส่บาตร   ไปไหว้พระตามต่างจังหวัดบ้าง เขาจะเกิดความสุขจากข้างใน เกิด ภาวะบุญ จุติในจิต   ที่ละเอียด ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัยแค่ไหน เมื่อเขาโตขึ้นเด็กจะแยกแยะได้ว่า  สุขแท้ และสุขเทียม  อยู่ที่ไหน ดังนั้น วัยรุ่นจะไม่ถูกเทคโนโลยีครอบงำ  มีภูมิคุ้มกันจากภายใน อยู่ในโลกเทคโนโลยีได้อย่างปลอดภัย
            ในด้านโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไม่ควรเน้นในเรื่องวิชาการและการแข่งขันกันอย่างเดียว  ควรเน้นกิจกรรมเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม ปลูกฝังจิตสาธารณะในสถานศึกษา   ไม่ใช่ว่าเน้นวิชาการอย่างเดียว  เพราะเด็กที่เก่งมากๆ นั้นอาศัย สมองดีแต่อาจขาดจิตสำนึกที่ดีต่อส่วนรวม  เพราะ คนที่ดี นั้นเกิดขึ้นที่ จิต   เมือจิตดีแล้วสมองก็ดีเอง  กิจกรรมของโรงเรียนควรเน้น  การเข้าค่ายคุณธรรมจริยธรรม   เน้นการมีจิตสาธารณะ   และการเป็นอาสาสมัครให้มากๆ  วัยรุ่นก็จะภาคภูมิใจในตนเองมากกว่า จะเอาเวลาไปหมกมุ่นในเรื่องไร้สาระอย่างเดียวจนเกิด ภาวะ คลั่งไคล้ดารานักร้อง และค่านิยมที่ผิดๆ  เช่นการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมเป็นต้น   โรงเรียนควรพาเด็กทำกิจกรรมเข้าค่ายคุณธรรมแบบบูรณาการ  ควบคู่กับวิชาการด้วย เช่น พาเด็กวัยรุ่นไปช่วยตักอาหารให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า   ไปเยี่ยมบ้านคนชรา   บำเพ็ญประโยชน์ตามสถานที่ส่วนรวม  ศึกษาดูงานภายในชุมชน  แล้วให้เขียนรายงาน มาส่ง อย่างนี้เป็นต้น   ไม่ใช่ว่ามีแต่เคี่ยวเข็ญให้เรียนเก่งๆทำการทดสอบระดับชาติให้ได้คะแนนสูงๆอย่างเดียว ในเมื่อจิตใจเด็กวัยรุ่นเต็มไปด้วยมลภาวะ แล้วเด็กจะเก่งได้อย่างไร  แต่ถ้าเด็กมี  จิตใจดีแล้วสมองก็ดี ตั้งใจเรียนเอง
            สื่อ  วารสาร  หรือ หนังสือพิมพ์    อินเตอร์เนท ควรหลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวที่เป็นลบ และยั่วยุในเรื่องเพศ  ควรมีกฎหมายเกี่ยวกับการเผยแพร่สื่อที่หมิ่นเหม่ไปในด้านยั่วยุในเรื่องเพศสำหรับวัยรุ่น ซึ่งมีมากมายในหนังสือ วารสารต่างๆจนวัยรุ่นไม่มีสมาธิเรียนหนังสือ เพราะสื่อมีเสรีมากขึ้นในการนำเสนอ แต่ขาดจิตสาธารณะ เน้นธุรกิจอย่างเดียว จนมีสื่อในด้านลบ ๆเต็มไปหมด  ควรมีข่าวหรือหัวข้อที่ส่งการส่งเสริมและให้รางวัลวัยรุ่นที่ทำความดีให้มากกว่านี้เพราะจะได้เป็นแบบอย่างให้วัยรุ่นคนอื่นๆได้ทำตาม
          นโยบายของรัฐบาลด้านการศึกษาควรเน้นการ คุณธรรมนำความรู้อย่างเป็นรูปธรรม ควรให้โอกาส และส่งเสริมสื่อเทคโนโลยี ด้านธรรมให้มากๆในรูปของรายการโทรทัศน์เชิงสร้างสรรค์    ส่งเสริมให้ครอบครัว และ พ่อแม่ครอบครัวของเด็กมีงานทำใกล้ๆบ้านและอยู่ใกล้ชิดกันอย่างอบอุ่น ไม่ต้องไปทำงานในกรุงเทพ หรือในเมืองใหญ่ๆ มีนโยบายกระจายรายได้ และงาน มาอย่างทั่วถึงในต่างจังหวัด พ่อแม่จะได้ไม่ต้องอพยพไปทำงานกรุงเทพ แล้วส่งแต่เงินมาให้ลูก

เมื่อลูกได้รับแต่เงิน แต่ไม่ได้รับความอบอุ่นและการอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดแล้ววัยรุ่นก็คงใช้เงินไปในทางไม่ถูกต้อง คือ ไปเที่ยวกลางคืน ต้องไปพึ่งพา หรือไปติดเพื่อนที่ไม่ดี ชักชวนกันไปมั่วสุมในเรื่องยาเสพติด  เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาสังคมตามมา
ความเจริญด้านเทคโนโลยีนั้นมีประโยชน์มากในตัวของมันเอง แต่ผู้ใช้และมีเสพต้องตระหนักและเลือกใช้ให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากเกินและการแก้ปัญหาวัยรุ่นในยุคเทคโนโลยีนี้ควรเริ่มตั้งแต่ครอบครัว  โรงเรียนสถานศึกษา  และระดับชาติ คือเริ่มปลูกฝังศีลธรรมจริยธรรม  ส่งเสริมให้มีความภาคภูมิใจใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ตั้งแต่เป็นเด็ก ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะเจริญขนาดไหนก็ตาม เราก็จะสามารถใช้เทคโนโลยีภายใต้เครื่องมือควบคุม คือ คุณธรรมได้ทุกยุคทุกสมัยความเสื่อมโทรมของสังคมและพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของวัยรุ่นในปัจจุบันนั้น หากใช้ผิดประเภทและไม่ถูกวิธีก็อาจจะได้รับผลเสียหรือตกเป็นเหยื่อจากภัยสังคมได้ เพราะโลกปัจจุบัน ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่มีที่สิ้นสุด ได้ก่อเกิดนวัตกรรมที่สร้างความสะดวกสบายให้แก่มนุษย์ในหลายๆด้าน ไปมาหาสู้กันด้วยยานพาหนะ จัดส่งเอกสารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ติดต่อค้าขายด้วยเครื่องคมนาคมและเส้นทางคมนาคมที่ทันสมัย ติดต่อสื่อสารกันด้วยเครื่องมือสื่อสาร เรียกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการอยู่รอดของมนุษย์ มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในทุกๆด้าน


ที่มา : http://pfaiis.exteen.com/20130225/entry

ค่านิยมวัยรุ่นไทย

ปัจจุบันเยาวชนอยู่ในสังคมที่เน้นเชิงทุนนิยมและวัตถุนิยมมากขึ้น ทำให้สุขภาพจิตแย่ลง ขณะเดียวกันสังคมรากฐาน คือ ครอบครัว ซึ่งเป็นสังคมหน่วยเล็กที่สุด ก็พบว่ามีปัญหามากขึ้น เพราะพ่อ แม่เหนื่อยกับการเลี้ยงลูก เครียดกับการเรียนของลูกและการสอบแข่งขันต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้พ่อแม่มือใหม่ไม่อยากมีลูก ส่งผลให้ปัจจุบันขนาดของครอบครัวเล็กลง แต่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เพราะขณะนี้ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปมีมากถึง 7.4 ล้านคน คาดว่าในปี 2568 ไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 14,400,000 คน ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้เกิดเป็นปัญหาด้านสังคมที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน
กล่าวว่า จากการสำรวจล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อความสุขของครอบครัวไทยพบว่า 62.42 % ครอบครัวไทยต้องเผชิญกับปัญหาการขาดความรับผิดชอบ เกิดความแตกแยกในครอบครัวครอบครัวไม่อบอุ่น มีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งสาเหตุมาจากพฤติกรรมในการดำรงชีวิตที่ยึดติดกับค่านิยมทางวัตถุมากกว่าการพัฒนาคุณภาพของคนในครอบครัว โดยอัตราการจดทะเบียนหย่าได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลอัตราการตายของวัยรุ่นในประเทศไทยมาจากสาเหตุ 3 อันดับคือ 1.อุบัติเหตุ มีอัตราการตาย 12 คนต่อวัน หรือ 4,000 คนต่อปี 2.โรคเอดส์ มีการเสียชีวิต 80,000 คนต่อปี และ 3.การฆ่าตัวตาย 600 คนต่อปี หรือ 2 คนต่อวัน
ผลกระทบของปัญหา
ค่านิยมของเด็กไทยในยุคปัจจุบันที่เกิดจากการเลียนแบบทางสังคมที่สำคัญ 5 ด้าน พรหมลิขิต ติดยา บ้าแบรนด์เนม ติดเกม กลัวผี ซึ่งค่านิยมเหล่านี้มาจากเพื่อน สังคมรอบข้าง การโฆษณาชวนเชื่อ สื่อมวลชน ผู้นำทางความคิด" เป็นค่านิยมที่สะท้อนว่า เด็กไทยกำลังแสวงหาทางออกด้วยตัวของพวกเขาเอง ต้องการที่พึ่ง และชดเชยความสุขที่ขาดหายไป...? และ ยิ่งพิเคราะห์ดูแล้วเป็นคำกล่าวที่รู้สึกว่ารุนแรงในค่านิยมต่อเด็กและเยาวชนของเราที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงและรวดเร็วเพียงชั่วข้ามครึ่งทศวรรษ
ดังนั้น ค่านิยมนั้นเป็นข้อสรุปรวมของสังคมก็ย่อมหมายความว่า เป็นทัศนะที่รวมๆ กันของคนหมู่มากที่ทำตามกันไป อาจจะถูกหรือจะผิดก็ไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อได้เฮตามกันไปแล้ว ค่านิยมที่เกิดใหม่อีกชั้นในขณะนั้นก็คือ การใช้กฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งอาจสร้างปัญหาให้แก่สังคมเมื่อถูกชักนำไปในทางที่ผิด เช่น ช่วงหนึ่งผู้คนนิยมว่า การสูบบุหรี่เป็นเรื่องที่เท่ห์ หรือสมาร์ท ก็สูบตามกันไป แล้วเดิม ค่านิยมของเด็กและเยาวชนไทยคืออะไรคือฝักใฝ่ในคุณธรรม เคารพผู้ใหญ่ กตัญญูรู้คุณ สนใจในการศึกษาเล่าเรียน เพื่อการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมในอนาคต .... ใช่หรือไม่ แต่เพียงเราเดินข้ามสู่ทศวรรษใหม่ กลับพบว่า เด็กและเยาวชนไทยมีค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน จนสังคมไม่ทันหันกลับมามองและแก้ปัญหานั้นได้ นี่คือบาดแผลในจิตใจที่คนในหมู่เด็กและเยาวชนเราจำนวนมากที่ทำตามกันไป พรหมลิขิต ติดยา บ้าแบรนด์เนม ติดเกม กลัวผีเป็นคำกล่าว(หา)ที่ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หรือมาเสียเวลาอธิบายแก้ตัวกันเป็นรายข้อ...... หรือ เพียงเท่านี้อาจจะยังน้อยไปในความรู้สึกของบางคน
ตัวอย่างค่านิยมของวัยรุ่นไทย
ผู้รับผลกระทบ (ทางธุรกิจอย่างไร)
การโฆษณามีผลกระทบต่อเยาวชน สังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แต่ก็มีปัจจัยหลายประการ ที่เป็นข้อจำกัดไม่ให้โฆษณามีอิทธิพลอย่างมากมาย เช่น
1.ผู้บริโภคต่างมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง เพราะผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นตนเองในสิ่งที่ถูกต้องและมีการวิเคราะห์โฆษณาด้วยปัจจัยหลายๆด้าน
2.กลุ่มอ้างอิงที่ดีจะช่วยสร้างสำนึกและเตือนสติผู้บริโภคที่หลงใหลในวัตถุนิยม จะเน้นทั้งกลุ่มที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น กลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มสถาบัน
3.นักโฆษณาซึ่งมีหน้าที่ในการสื่อสารให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพราะจะช่วยสร้างภาพพจน์ที่ดีและในทางเดียวกันสามารถสร้างสำนึกให้เกิดขึ้นเพื่อนสังคมได้เป็นอย่างดี
4.นักโฆษณาควรยึดจรรยาบรรณของนักวิชาชีพโฆษณา โดยเลือกสารโฆษณาที่มีคุณค่าเพื่อ ประโยชน์ในการรับสารโฆษณาของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
5.นักวางแผนสื่อโฆษณา ควรเลือกสื่อโฆษณาที่เหมาะสมกับผู้บริโภคตามลักษณะทาง ประชาชนศาสตร์ ภูมิศาสตร์และจิตวิทยา เพราะสื่อแต่ละประเภทมีความหลากหลายและแตกต่างกัน ทั้งข้อดีข้อเสีย และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน
6.นักวางแผนสื่อโฆษณาควรวิเคราะห์พฤติกรรม การเปิดรับสื่อของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มที่แตกต่าง กัน การสร้างการเข้าถึงและความถี่ในการรับสารโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพจะมีผลต่อการรับรู้ และความสนใจของผู้บริโภคได้มาก
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากการแพร่หลายของปริมาณข่าวสารความรู้ รวมถึงความทันสมัยและความรวดเร็วของการพัฒนาเทคโนโลยี นำความเจริญไปพร้อมกันไปกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม ดังนั้น ผู้บริโภคควรใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเลือกรับข่าวสารโฆษณาที่เหมาะสมกับตนเอง
ข้อเสนอแนะในการลดความรุนแรงของปัญหา
การเสวนาดังกล่าวได้เสนอทางออกให้แก่สังคมไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า
เด็กควรเรียนรู้ความเป็นจริง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของสังคม โดยทุกระบบในสังคมต้องทำหน้าที่ฝึกสอนให้เด็กได้เรียนรู้ แต่กลับพบว่า หน้าที่ในการอบรมเด็กกลับถูกผลักภาระไว้ที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ระบบโรงเรียนกลับมุ่งเน้นในเชิงวิชาการ แม้จะมีระบบคัดกรองเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเพื่อนำเข้าสู่การแก้ไขปัญหา
แต่กลไกเหล่านี้ยังไม่ถูกทำหน้าที่ จึงเห็นด้วยที่ผู้ปกครองต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลลูก ไม่ควรฝากภาระและอนาคตให้กับโรงเรียน โดยต้องมีระบบกลไกทางสังคมที่ช่วยให้ระบบครอบครัวมีความเข้มแข็ง มีทักษะและความรู้ความเข้าใจในการแนะนำลูกของตนเอง ซึ่งการสร้างระบบเครือข่ายผู้ปกครองสามารถทำได้
โรงเรียนต้องเปิดพื้นที่ให้กลุ่มพ่อแม่ได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ของความเป็นผู้ปกครองเช่นมีห้องให้ผู้ปกครองได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และการให้คำปรึกษาการเลี้ยงดูลูกเพื่อให้เครือข่ายครอบครัวมีส่วนในการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาเด็กในโรงเรียนมากขึ้นทางออกเพียงเท่านี้จะเพียงพอหรือไม่อย่างไรสำหรับการแก้ไขปัญหาที่ยังคงเป็นแผลฉกาจฉกรรจ์ของวัยรุ่นไทย ในเมื่อผู้ใหญ่ในสังคมมีความคิดที่แตกแยกกันอย่างรุนแรงเช่นนี้ จนยากที่จะหาทางออกร่วมกันได้ มันย่อมเป็น แม่แบบทางความคิดหรือ สร้าง ค่านิยมใหม่ให้แก่เด็กไทยที่นับวันจะมุ่งไปสู่ ความรุนแรงเช่นเดียวกัน เพราะ...เราอยากได้ขนมหวานอะไร ก็ต้องใช้แม่แบบขนมหวานตัวนั้น เป็นเครื่องพิมพ์ให้ออกมาตามแบบ เราอยากได้ความรุนแรงเป็นเครื่องยุติความแตกแยกของสังคม เราอยากได้การยุติปัญหาแบบขาดวุฒิภาวะ ...ฤา? หรือเราได้ให้สังคม กลบเกลื่อนความผิดมาลบเลือนความชั่วของคนในสังคม เราก็จะได้เห็นเยาวชนของเราเดินตามรอยเท้านั้นในไม่ช้า


ที่มา : https://prezi.com/8i65_dl0uafk/presentation/

อย่าตัดสินคนจากหน้าตา และรูปลักษณ์ภายนอก




ในสมัยที่"ลิซซี เวลาสเกซ"เรียนชั้นมัธยมปลาย เธอได้รับฉายาว่า "ผู้หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก" จากคลิปวิดีโอที่โพสต์ลงในยูทูบนาน 8 วินาที

แน่นอน ไม่มีใครเลือกเกิดได้ เวลาสเกซ เกิดมาพร้อมอาการทางการแพทย์ที่หาผู้ป่วยยากยิ่ง กระทั่งปัจจุบัน ในโลกมีผู้ป่วยจากโรคนี้ที่พบแล้วเพียง 3 ราย
อาการของเธอคือ เธอไม่มี"เนื้อเยื่อไขมัน"ภายใต้ผิวหนัง และไม่มีกล้ามเนื้อใดๆบนร่างกาย ทำให้ไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ และไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ ฉะนั้น ไขมันในร่างกายของเธอจึงเป็นศูนย์ และมีน้ำหนักเพียง 60 ปอนด์
ในคอมเมนต์ในยูทูบ ผู้ใช้บางรายเรียกเธอว่า"มัน" และบอกให้เธอ"ไปฆ่าตัวตายเสีย" แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอท้อใจแม้แต่น้อย และทำให้เธอตั้งจุดมุ่งหมายไว้ 4 ประการ
1.เป็นนักพูดเพื่อกระตุ้นให้กำลังใจผู้คน
2.เขียนหนังสือ
3. เรียนจบมหาวิทยาลัย
4.สร้างครอบครัวและหางานทำด้วยลำแข้งของตนเอง
ปัจจุบันในวัย 23 ปี เธอเป็นนักพูดเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้คนมานาน 7 ปีแล้ว รวมถึงเปิดเวิร์คช็อปเพื่อให้คนรู้จักที่จะสร้างความโดดเด่นให้ออกมาจากภายใน รวมถึงการรับมือจากการข่มเหงรังแกและการเอาชนะอุปสรรค  นอกจากนั้น เธอยังเรียนปริญญาโทในสาขาการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส สเตท และเป็นเจ้าของหนังสือ "Lizzie Beautiful" ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2010 ขณะที่หนังสือเล่มที่สองของเธอ "Be Yourself, Be Beautiful" เพิ่งออกวางจำหน่ายเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
เวลาสเกซ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวของซีเอ็นเอ็นว่า "การถูกจ้องมอง"เป็นสิ่งที่เธอต้องจัดการในขณะนี้เมื่อต้องออกสู่ที่สาธาณะ แต่เธอคิดว่า เธอเดินทางไปถึงจุดจุดหนึ่ง ที่คิดได้ว่า แทนที่จะนั่งเฉยๆและปล่อยให้คนอื่นคอยตัดสิน เธอเริ่มต้องการเดินออกไปหาคนเหล่านั้น และแนะนำตัวว่าเธอคือใคร พร้อมเสนอนามบัตรให้ พร้อมทั้งกล่าวว่า "บางทีคุณควรหยุดจ้องมองฉัน และเริ่มที่จะเรียนรู้"
เวลาสเกซ เกิดที่เมืองซานแอนโตนิโอในรัฐเท็กซัส เธอเกิดก่อนกำหนด 4 สัปดาห์ ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 2 ปอนด์ 10 ออนซ์  แม่ของเธอเคยกล่าวว่า ยังคิดไม่ออกว่าลูกสาวของเธอจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เนื่องจากแพทย์ได้แจ้งว่า เด็กคนนี้อาจไม่สามารถพูดหรือเดินได้ หรือปล่อยให้ใช้ชีวิตตามลำพังได้
อย่างไรก็ดี เธอเติบโตขึ้นตามปกติ ทั้งอวัยวะภายในและภายนอก แม้ร่างกายจะผอมบางมากจนน่ากลัว และพบว่าไม่มีชั้นไขมันภายใต้ผิวหนังซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บสารอาหาร ทำให้เธอต้องทานอาหารทุกๆ 15-20 นาที เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพอที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้  ตาข้างหนึ่งของเธอเริ่มพร่าเลือนเมื่ออายุได้ 4 ขวบ และบอดในที่สุด ทำให้ปัจจุบันเธอต้องมองสิ่งต่างๆด้วยตาเพียงข้างเดียว
เธอเขียนถึงความสำเร็จและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตลงในโพสต์บล็อคส่วนตัวโดยกล่าวว่าเธอเรียนรู้ที่จะอ้าแขนรับสิ่งต่างๆที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากคนอื่น แทนที่จะคอยมานั่งตอบโต้ในสิ่งที่ทำให้ตนเองรู้สึกแย่ เธอตั้งเป้าหมายให้ตนเองและผลักดันไปจนถึงความสำเร็จ ถึงแม้จะมีคนที่เกลียดอยู่บ้างก็ตาม นอกจากนั้น เธอยังเปิดช่องยูทูบ ที่สอนเทคนิคต่างๆ อาทิวิธีการรับมือกับการดูถูกดูแคลน การทำผม และการคิดบวก แม้บางครั้งจะมีคอมเมนต์ที่แสดงความเห็นในเชิงลบ เธอกล่าวว่าเธออ่านทุกคอมเมนต์เพราะมองว่านั่นก็เป็นเพียงแค่"คำพูด"
เธอกล่าวว่าเธอดีใจที่เธอดูไม่เหมือนเหล่าเซเล็บที่มีหน้าตาสวยงาม ซึ่งดูเหมือนๆกันไปหมด ที่เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ
เวลาสเกซ กล่าวว่า เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แน่นอนว่าเธอต้องรู้สึกเจ็บปวด แต่คำตัดสินของคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเป็นเช่นนั้น และเธอจะไม่ยอมให้คำพูดเหล่านั้นมากำหนดความเป็นตนเอง และจะไม่ยอมจมไปกับความเสียใจเด็ดขาด แต่จะ"แก้แค้น"ผ่านการสร้างความสำเร็จให้ตนเอง และความมุมานะ
"และในสงครามระหว่าง คลิปผู้หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก และ ตัวฉันเอง ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้ชนะ" เวลาสเกซกล่าวปิดท้าย


ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiomard&month=18-02-2014&group=19&gblog=15

ทำไมเงินสำคัญกว่าความดี ?

จากกระแสความคิดของคนไทยปัจจุบันที่มีความเชื่อเอนเอียงนิยมชมชอบในเรื่องทุนนิยมกันมากจนกลายเป็นกระแสความคิดหลักไปแล้ว ใครๆ ก็อยากรวย ใครๆ ก็อยากมีทรัพย์สินมากกว่าคนอื่น ใครๆ ก็อยากทำอะไรก็ได้ที่ได้เงินเยอะๆ แต่เราเคยเอะใจหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วเราไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนในอดีต แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับความคิดของเราล่ะ?
ในอดีตเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ความดีงาม การรักษาชื่อเสียง การมีหน้ามีตา การให้ความเคารพต่อคนดีมีคุณธรรมนั้นเป็นค่านิยมหลักของคนไทยในสมัยอดีต จะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงคนรอบข้าง ถ้าทำไม่ดีเดี๋ยวจะไม่มีคนคบ ถูกคนอื่นนินทาว่าร้ายจนทำมาหากินไม่ได้ คนอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พ่อค้าพาณิชย์สมัยก่อนจะแคร์สายตาคนรอบข้างเป็นอย่างมาก นอกจากนี้คนสมัยก่อนที่มีอำนาจมากมักจะสะสมบารมีกับบริวารทั้งหลาย เช่น สนับสนุนเงินทุนการศึกษาให้ผู้น้อย สร้างที่พักอาศัยให้กับบริวารได้อยู่ล้อมรอบตนเอง ให้การอุปการะเลี้ยงดูลูกหลานของบริวาร เป็นต้น ดังนั้นคนไทยในอดีตจึงห่วงเรื่องการรักษาชื่อเสียงและหมั่นสะสมความดีงามเอาไว้อยู่เสมอเพื่อให้ตนเองสามารถมีที่ยืนอยู่บนสังคมได้เสมอ
แต่มาถึงยุคนี้ปีพ.ศ. 2557 กาลเวลาผ่านไปจิตใจคนก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามกฎแห่งธรรมชาติ ค่านิยมของเราเปลี่ยนจากการให้คุณค่ากับความดีงาม มาเป็นให้คุณค่ากับเงินมากกว่า สมัยนี้เรามีค่านิยมว่า ใครมีเงินมากถือว่าดีเก่งเฮงน่านับถือระดับความรุนแรงของสำนวนที่ว่า มีเงินนับเป็นน้องมีทองนับเป็นพี่ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณความสำคัญมากขึ้นส่วนค่านิยมต่อความดีก็เปลี่ยนไปเป็น เช่น ดีอย่างเดียว กินไม่ได้ ไม่เอา” “คนดีไม่มีที่อยู่” “ใครรู้จักทำอะไรด้านมืดๆ บ้างนี่สิถึงจะอยู่รอดได้ทำไมค่านิยมถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้?
เม็ดเงินแพร่สะพัดเฉพาะในชุมชนใหญ่อย่างในกรุงเทพมหานคร ช่วยเร่งทำให้สังคมเราที่เดิมเป็นสังคมชนบทเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมเมืองขนาดใหญ่ เงินได้ถูกโฆษณาว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีควรหามาเก็บมาใช้ การมีเงินเท่ากับการมีทรัพยากรซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา ด้วยไอเดียนี้เงินจึงสามารถดึงดูดให้คนต่างถิ่นที่ไม่รู้จักกันจำนวนมากมาอาศัยอยู่ที่เดียวกันเพื่อทำงานหาเงิน การย้ายเข้ามาอยู่รวมกันอย่างรวดเร็วทำให้ความผูกพันธ์และการรู้ภูมิหลังของกันและกันต่อกันมีไม่มาก คนต่างถิ่นไม่รู้จักกัน นานวันเข้าก็ไม่สนใจต่อกันเพราะมีจำนวนมากเกินไป ต่างคนต่างอยู่ ครอบครัวในชนบทจากเดิมที่เป็นครอบครัวขยายเปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น จนถึงปัจจุบันสังคมคนโสดอยู่แบบเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวกับใครก็เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น
เมื่อผู้คนไม่รู้จักกัน ความใส่ใจ ความแคร์กันย่อมน้อยลง คนมีความสัมพันธ์กันน้อยลง ดังนั้นพฤติกรรมการรักษาชื่อเสียงความดีงามจึงถูกลดความสำคัญลงไป นอกจากนี้การที่มีคนจำนวนมากอยู่รวมกันแต่กระจัดกระจายทางความสัมพันธ์ (มีคนเยอะแต่ไม่ได้รวมกลุ่ม) เป็นตัวช่วยส่งเสริมให้เกิดการทุจริตแล้วไม่ถูกลงโทษทางสังคมมากขึ้น การมีคนจำนวนมากทำให้เกิดการภาวะการกระจายความรับผิดชอบ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้ามีคนหกล้มกลางห้างที่มีคนพลุกพล่านมากๆ ก็จะไม่มีใครสนใจกันและกัน ไม่มีใครจะหยุดช่วยคนหกล้ม เพราะต่างคนต่างคิดว่าเดี๋ยวคนอื่นๆ ก็ไปช่วย ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเช่น มิจฉาชีพสามารถใช้ช่องโหว่ของกฎหมายหรือข้อที่มีบทลงโทษอ่อนโดยหลอกลวงเงินจากผู้เสียหาย โดยเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปเรื่อยๆ แต่ใช้วิธีเดิมๆ ค่อยๆ ไล่หลอกคนอื่นไปทีละนิดกลายเป็นความเสียหายก้อนใหญ่ได้ กว่าสังคมจะรู้ตัวอีกทีก็เสร็จโจรไปแล้วเรียบร้อย
ในยุคปัจจุบันที่เรามักจะตามหาความดีงามจากคนอื่น แต่ตัวเราก็ยังนิยมในทุนอยู่ เราจะทำอย่างไรเพื่อให้สังคมของเราดีขึ้นอย่างสมดุลได้บ้าง คำตอบคือ ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนสิ่งที่เรานิยมใหม่ เช่น จากเดิมที่จะคบใครโดยให้ความสำคัญกับเงิน ขอให้เพิ่มเติมพิจารณาเรื่องความดีงามของคนที่เราจะคบเข้าไปด้วย พยายามอยู่กับคนที่มีทั้งเงินและความดีคู่กันไป คบคนที่ทำงานสุจริต ใครทุจริตขอให้ลงโทษเขาด้วยกฎหมายและลงโทษทางสังคมประกอบกันไป
และที่สำคัญคือ อย่านิ่งดูดายต่อความเลวร้าย เหตุการณ์ร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ได้เกิดจากคนชั่ว แต่เป็นเพราะมีแต่คนดีที่เงียบเฉยต่างหาก


ที่มา : http://www.aommoney.com/angelman/money-and-mind/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B5#gs.KSJVA=w

ค่านิยมทางเพศของวัยรุ่น

ค่านิยมทางเพศของวัยรุ่น

ค่านิยมทางเพศของวัยรุ่นปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เนื่องจากได้อิทธิพลวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามา หรือการใช้เทคโนโลยีสื่อสารที่รวดเร็ว ทันสมัยทำให้สามารถรับรู้ข่าวสารได้รวดเร็ว โดยไม่ได้คัดกรองข้อมูลข่าวสารนั้นๆ ซึ่งสื่อต่างๆเหล่านี้ล้วนมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะเรื่องเพศของวัยรุ่น หากวัยรุ่นมีค่านิยมทางเพศที่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
ความหมายของค่านิยมทางเพศ
ค่านิยมทางเพศ ( sexual value) หมายถึง หลักการพื้นฐานที่บุคคลยึดเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อดำเนินชีวิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศโดยค่านิยมทางเพศของบุคคลเกิดจากการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ในสถาบันครอบครัว ระบบการศึกษา ประสบการณ์ กระบวนการขัดเกลาและถ่ายทอดทางสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ

ที่มา : http://sjc.ac.th/sjc2014/images/Lreaning-online/M4/3.pdf

ผิวขาว ค่านิยมที่ผิด

พี่ มีครีมอะไรที่ทำให้ขาวไหมพี่ หนูอยากขาวแหละ       
       น้องที่ทำงานคนหนึ่งถามดิฉัน  
       ดิฉันมองเธอด้วยอาการงงๆ เล็กน้อย เพราะเธอไม่ได้คล้ำหรือดำแต่ประการใด เพียงแต่ไม่ได้ขาวจั๊วะก็เท่านั้น สอบถามได้ความว่าเธออยากขาวกว่าเดิมอีก ลองมาหลายสูตรแล้วก็ยังไม่สำเร็จ ที่อึ้งไปพักหนึ่งเห็นจะเป็นวิธีการใช้สก็อตไบร์ทขัดถูตัว เพื่อหวังว่าจะทำให้เซลล์ที่ไม่ปรารถนาหลุดลอกไป      
       นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดิฉันได้ยินเรื่องราวทำนองนี้ เฉพาะเรื่องเอาสก็อตไบร์ทมาขัดถูตัวเคยได้ยินคนสารภาพมาแล้วอย่างน้อย 3 คน เหตุผลเหมือนกันคืออยากผิวขาวเหมือนคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง      
       ที่ได้ยินบ่อยอาจเป็นเพราะเพื่อนเห็นว่าดิฉันผิวขาวอาจมีสูตรเด็ดก็ได้ หารู้ไม่ ก็ดิฉันมีเชื้อสายจีนก็ต้องหมวยขาวตามสูตรพันธุกรรม แต่ก็ใช่ว่าจะพอใจตัวเองนะ ยังจำได้ว่าเมื่อตอนเด็ก ๆ ชอบออกไปตากแดดเพราะอยากให้ตัวเองดำขึ้น เขาเรียกว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้านั่นแล      
       ค่านิยมเรื่อง ความขาวกลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมไทยมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชน หากดูผิวเผินก็ไม่น่าจะมีปัญหา เด็กอยากผิวขาวก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็เนื่องเพราะสังคมในทุกระดับต่างก็ให้ ค่าเรื่องความขาวจนเกินงาม   
       เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อมีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนอย่างมาก โดยเฉพาะสื่อทีวีที่เห็นภาพทันที ยิ่งปัจจุบันมีภาพยนตร์โฆษณาที่ว่าด้วยเรื่องผิวขาวมากมายจริงๆ เวลาที่มีการโฆษณานั่นหมายความว่าชิ้นงานนั้นต้องถูกผลิตมาให้เกินจริง ทั้งขั้นตอนการถ่ายทำ การใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยให้ขาวเนียนได้สุดๆ เพราะวัตถุประสงค์เพื่อขายสินค้าให้ได้มากๆ    
       บรรดาครีมบำรุงผิวสารพัดที่ขับเน้นเรื่องการทำให้ผิวสาวขาวได้ในเวลาอันรวดเร็วถูกนำเสนอผ่านสื่อ เป็นตัวกระตุ้นเร้าความอยากของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วเช่นกัน เรียกว่า ปัจจุบันไม่ใช่แค่หน้าขาวเท่านั้น แต่ต้องขาวทั้งตัว ขาวแม้ใต้วงแขน หรือจุดซ่อนเร้น...
กรณีของผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ก็เข้าใจได้ว่า การโฆษณาเป็นเรื่องเกินจริง แต่เด็กที่ต้องเสพสื่อเหล่านี้จำนวนมากทุกวี่วัน ยังขาดวิจารณญาณหรือคนชี้แนะ เมื่อเห็นก็อยากเลียนแบบ อยากใช้ผลิตภัณฑ์ที่พบเห็น สร้างความสนใจและดึงดูดใจเด็กสาวจำนวนมาก รวมไปถึงเด็กหนุ่มจำนวนไม่น้อย ที่หันมานิยมผิวขาวกันมากขึ้น
       ถ้ายังจำกันได้ถึงข่าวคราวเมื่อหลายปีก่อนมีเด็กวัย 6 ขวบ นำไฮเตอร์มาอาบน้ำ เพื่อหวังจะให้ตัวเองผิวขาวเหมือนคนอื่น เพราะเคยเห็นจากโฆษณาทางทีวี แต่ด้วยความที่เด็กวัย 6 ขวบ ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่า น้ำยาที่ใช้สำหรับซักผ้าขาว เมื่อเด็กเห็นว่าผ้าขาวทันที ก็เลยคิดว่าเจ้าน้ำยาที่ว่าอาจจะทำให้ตัวของเด็กขาวได้ ก็เลยนำมาอาบน้ำซะเลย กลายเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วครั้งหนึ่ง     
       กระแสเรื่อง ผิวขาวกลายเป็นปัญหาของเด็กหนุ่มสาวยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการให้ ค่าของคนที่ประสบความสำเร็จ ดารา นักร้องที่ผิวขาวก็จะได้รับความสนใจ มักจะประความสำเร็จ ในขณะที่คนผิวเข้มจะถูกจัดวางให้อยู่ในบทบาทการแสดงที่ด้อยกว่า หรือเป็นตัวแสดงที่เป็นปมด้อย เช่น ตัวตลก นางร้าย ฯลฯ      
       จะว่าไปจริงหรือไม่...เด็กที่เกิดมาผิวคล้ำก็จะถูกพูดในท่วงทำนองว่า เด็กคนนี้เกิดมาอาภัพตัวดำ จะโดยที่ผู้ใหญ่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เด็กก็จะรู้สึกเป็นปมด้อยมาตั้งแต่เด็ก พอเข้าโรงเรียนเด็กเหล่านี้ก็มักจะถูกเพื่อนล้อเลียนอยู่เสมอ ก็ยิ่งทำให้เด็กเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าสีผิวเป็นปัญหาของตัวเอง    
       สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่เด็กและเยาวชนซึมซับอยู่ทุกวัน  
       ยิ่งเมื่อผู้ประกอบการจับจุดนี้ได้ อาศัยค่านิยมด้วยการฉวยโอกาสเปิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความงามมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการทำให้ผิวขาวชั่วข้ามคืน
      
       ดิฉันยังจำได้ว่าเด็กสาวคนหนึ่งเคยทำงานบ้าน เธอใช้ผลิตภัณฑ์ทาหน้าขาวจากคลินิกแห่งหนึ่งมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ซึ่งหน้าเธอก็ขาวจริงๆ แต่ขาวเฉพาะหน้า ส่วนอื่นๆ ก็ผิวคล้ำตามปกติ แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งหน้าเธอก็ขึ้นจุดๆ เธอไปพบแพทย์ แล้วกลับมาเล่าไปร้องไห้ไปบอกว่าหน้าเธอพังหมดแล้ว และเธอกำลังเป็นโรคผิวหนังอย่างรุนแรง จากนั้นเธอก็ลาออก แล้วก็ไม่ได้พบกันอีก    
       ดิฉันได้มีโอกาสพบคุณหมออิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา ซึ่งห่วงใยเรื่องนี้มาก เพราะเด็กและเยาวชนในปัจจุบันรู้เท่าไม่ถึงการณ์เรื่องความอยากผิวขาว โดยที่ไม่มีความรู้ อีกทั้งในปัจจุบันก็มีตัวยาที่ชื่อว่า กลูตาไธโอนซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อให้ผิวขาวโดยฉีดเข้าเส้น แต่ในความเป็นจริง สารดังกล่าวสามารถทำให้ขาวได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้นเอง แต่ตัวยาดังกล่าวอาจเป็นอันตรายได้       
       สื่อเป็นปัญหาใหญ่มากในสังคมขณะนี้ โดยเฉพาะสื่อทีวีที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดการเลียนแบบ ความนิยมผิวขาว ทำให้หนุ่มสาวรุ่นใหม่สรรหาสารพัดวิธีที่จะทำให้ผิวขาวตนเองในเวลาอันรวดเร็ว หลงเชื่อการโฆษณาอวดอ้างตามสื่อต่าง ๆ ว่ามียาหรือเครื่องสำอางทำให้หน้าขาว แม้กระทั่งการฉีดยารักษาโรคมะเร็งที่มีสารกลูตาไธโอน เข้าเส้นเลือด หวังผลข้างเคียงของยาไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง เพื่อให้ผิวขาว โดยหารู้ไม่ว่าการได้รับสารปริมาณมากมีอันตรายถึงชีวิต      
       แต่...ที่น่าประหลาดใจกลับพบว่าเด็กรุ่นใหม่ยอมเสี่ยงภัยเพื่อความงาม โดยไม่สนใจผลกระทบที่ตามมา มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด      
       และ...ปัญหาที่น่าห่วงตามมาและอันตรายที่สุด น่าจะเป็นเรื่องค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกให้ ค่ามากกว่าคุณค่าของตัวตนและจิตใจของมนุษย์...!!!


ที่มา : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000121748